ทฤษฏีการเรียนรู้กลุ่มพุทธินิยม (Cognitivism)
            ประสาท อิศรปรีดา (2538:303) กล่าวไว้ว่า ทรรศนะสำคัญของทฤษฏีปัญญานิยม ก็คือ
เขาคิดว่าพฤติกรรมเชิงบุคคลไม่ได้เกิดจากการตอบสนองต่อเหตุการณ์ภายนอก
หรือจากภาวะไม่สมดุลทางกาย เช่นความหิว หรือความกระหาย เหมือนที่กลุ่มพฤติกรรมนิยมกล่าวไว้
แต่พฤติกรรมทั้งหลายเกิดจากการแปลความหมาย จากเหตุการณ์เหล่านั้น (นักจิตวิทยา
ปัญญานิยม นิยมใช้คำว่า การรับรู้ ) เช่น เมื่อถึงเวลาเที่ยงวัน
ท่านก็จะรู้สึกลุกลี้ลุกลน ทำงานต่อไม่ได้ เพราะถึงเวลาไปรับประทานอาหาร
ลักษณะนี้อธิบายได้ว่า พฤติกรรมการลุกลี้ลุกลน หรือหงุดหงิดของท่าน
ไม่ได้เกิดจากการขาดอาหารแต่เกิดจากการแปลความหมายว่าเที่ยงแล้ว
ถึงเวลาที่ท่านจะต้องไปรับประทานอาหารเป็นต้น นักจิตวิทยา กลุ่มนี้ได้เชื่อว่า
พฤติกรรมจะถูกกำหนดความคิด ความเชื่อ ความคาดหวัง เป้าหมาย ค่านิยม ไม่ได้เกิดจากการที่ได้รับรางวัลหรือตัวเสริมแรง 
            พรรณี
ช. เจนจิต (2538: 404-406) กล่าวไว้ว่า
แนวคิดของนักจิตวิทยากลุ่มนี้มีความเห็นว่า
การศึกษาพฤติกรรมควรเน้นความสำคัญของการะบวนการคิดและการรับรู้ของคนได้ให้ข้อเสนอ แนะว่าคนทุกคนมีธรรมชาติภายในที่ใฝ่ใจใคร่เรียนเพื่อก่อให้เกิดสภาพที่สมดุลดังนี้นั้นการที่เด็ก
ได้มีโอกาสเรียนตามความต้องการและความสนใจของตนจะเป็นสิ่งที่มีความหมายสำหรับเด็ก
มากกว่าที่ครูหรือผู้อื่นจะบอกให้ ซึ่งก็คือ “การจัดการเรียนการสอน โดยเน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ”
           ณัชชากัญญ์
วิรัตนชัยวรรณ (https://www.l3nr.org/posts/386486) กล่าวไว้ว่า ทฤษฎีการเรียนรู้กลุ่มพุทธินิยม (Cognitive) เน้นกระบวนการทางปัญญาหรือความคิด ซึ่งเป็นกระบวนการภายในของสมอง
นักคิดกลุ่มนี้มีความเชื่อว่าการเรียนรู้ของมนุษย์ไม่ใช่เรื่องของพฤติกรรมที่เกิดจากกระบวนการตอบสนองต่อสิ่งเร้าเพียงเท่านั้น
การเรียนรู้ของมนุษย์มีความซับซ้อนยิ่งไปกว่านั้น
การเรียนรู้เป็นกระบวนการทางความคิดที่เกิดจากการสะสมข้อมูล
การสร้างความหมายและความสัมพันธ์ของข้อมูลและการดึงข้อมูลออกมาใช้ในการกระทำและการแก้ปัญหาต่างๆ
การเรียนรู้เป็นกระบวนการทางสติปัญญาของมนุษย์ในการที่จะสร้างความรู้ความเข้าใจให้แก่ตนเอง
ทฤษฏีในกลุ่มนี้ที่สำคัญๆ มี 5 ทฤษฏี คือ
- ทฤษฎีเกสตัลท์ (Gestalt Theory) แนวความคิดเกี่ยวกับการเรียนรู้ของทฤษฏีนี้
คือ การเรียนรู้เป็นกระบวนการทางความคิดซึ่งเป็นกระบวนการภายในตัวมนุษย์
บุคคลจะเรียนรู้จากสิ่งเร้าที่เป็นส่วนรวมได้ดีกว่าส่วนย่อย
หลักการจัดการเรียนการสอนตามทฤษฏีนี้จะเน้นกระบวนการคิด
การสอนโดยเสนอภาพรวมก่อนการเสนอส่วนย่อย
ส่งเสริมให้ผู้เรียนมีประสบการณ์มากและหลากหลายซึ่งจะช่วยให้ผู้เรียนสามรถคิดแก้ปัญหา
คิดริเริ่มและเกิดการเรียนรู้แบบหยั่งเห็นได้
- ทฤษฎีสนาม (Field Theory) แนวความคิดเกี่ยวกับการเรียนรู้ของทฤษฏีนี้
คือ การเรียนรู้เกิดขึ้นเมื่อบุคคลมีแรงจูงใจหรือแรงขับที่จะกระทำให้ไปสู่จุด
หมายปลายทางที่ตนต้องการ หลักการจัดการเรียนการสอนตามทฤษฏีนี้เน้นการเข้าไปอยู่ใน “โลก” ของผู้เรียนการสร้างแรงจูงใจหรือแรงขับโดยการจัดสิ่งแวด
ล้อมทั้งทางกายภาพและจิตวิทยาให้ดึงดูดความสนใจและสนองความต้องการของผู้
เรียนเป็นสิ่งจำเป็นในการช่วยให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้
- ทฤษฎีเครื่องหมาย (Sign Theory) ของทอลแมน (Tolman) แนวความคิดเกี่ยวกับการเรียนรู้ของทฤษฏีนี้ คือ
การเรียนรู้เกิดจากการใช้เครื่องหมายเป็นตัวชี้ทางให้แสดงพฤติกรรมไปสู่จุดหมายปลายทาง
หลักการจัดการเรียนการสอนตามทฤษฏีนี้เน้นการสร้างแรงขับและหรือแรงจูงใจให้ผู้เรียนบรรลุจุดมุ่งหมายใดๆ
โดยใช้เครื่องหมาย สัญลักษณ์หรือสิ่งอื่นๆ ที่เป็นเครื่องชี้ทางควบคู่ไปด้วย
- ทฤษฎีพัฒนาการทางสติปัญญา(Intellectual Development Theory) นักคิดคนสำคัญของทฤษฏีนี้มีอยู่ 2 ท่าน
ได้แก่ เพียเจต์(Piaget) และบรุนเนอร์(Bruner) แนวความคิดเกี่ยวกับการเรียนรู้ของทฤษฏีนี้เน้นเรื่อง
พัฒนาการทางสติปัญญญาของบุคคลที่เป็นไปตามวัยและเชื่อว่ามนุษย์เลือกที่จะ
รับรู้สิ่งที่ตนเองสนใจและการเรียนรู้เกิดจากระบวนการการค้นพบด้วยตนเอง หลักการจัดการเรียนการสอนตามทฤษฏีนี้
คือ คำนึงถึงพัฒนาการทางสติปัญญาของผู้เรียนและจัดประสบการณ์ให้ผู้เรียนอย่าง
เหมาะสมกับพัฒนาการนั้น
ให้ผู้เรียนได้มีประสบการณ์และมีปฏิสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อมมากๆ
ควรเด็กได้ค้นพบการเรียนรู้ด้วยตนเอง ส่งเสริมให้ผู้เรียนได้คิดอย่างอิสระและสอนการคิดแบบรวบยอดเพื่อช่วยส่ง
งเสริมความคิดสร้างสรรค์ของผุ้เรียน
- ทฤษฏีการเรียนรู้อย่างมีความหมาย (A Theory of Meaningful Verbal
Learning) ของออซูเบล (Ausubel) เชื่อว่า
การเรียนรู้จะมีความหมายแก่ผู้เรียน หากการเรียนรู้นั้นสามารถเชื่อมโยงกับสิ่งใดสิ่งหนึ่งที่รู้มาก่อน
หลักการจัดการเรียนการสอนตามทฤษฏีนี้ คือ
มีการนำเสนอความคิดรวบยอดหรือกรอบมโนทัศน์
หรือกรอบแนวคิดในเรื่องใดเรื่องหนึ่งแก่ผู้เรียนก่อนการสอนเนื้อหาสาระนั้นๆ
จะช่วยให้ผู้เรียนได้เรียนเนื้อหาสาระนั้นอย่างมีความหมาย
            สรุป
การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมจะพิจารณาว่าผู้เรียนเกิดการเรียนรู้หรือไม่ก็ดูจากการเปลี่ยนแปลงอัตราการตอบสนองและสิ่งที่มีอิทธิพลต่อการเปลี่ยนแปลงอัตราการตอบสนองก็คือผลกรรมหรือสิ่งที่ได้รับจากผลกรรมนั้นว่าจะเป็นเช่นไร
ถ้าหากผลที่ได้รับก่อให้เกิดความพอใจ อินทรีย์ก็จะมีแนวโน้มกระทำพฤติกรรมนั้นถี่หรือเพิ่มมากขึ้น
การดำเนินการเพื่อให้อินทรีย์ได้รับผลที่พึ่งพอใจ
การเรียนรู้เกิดจากการเชื่อมโยงระหว่างสิ่งเร้ากับการตอบสนอง
ซึ่งมีหลายรูปแบบการเรียนรู้แบบวางเงื่อนไขตอบสนองเพื่อวางเงื่อนไข (cs)
หลักสำคัญก็คือ จะต้องให้ US หลัง CS
อย่างกระชั้นชิด คือเพียงเสี้ยววินาทีและจะต้องทำซ้ำๆกัน
บุคคลจะมีการลองผิดลองถูกปรับเปลี่ยนไปเรื่อยๆจนกว่าจะพบรูปแบบการตอบสนองที่สามารถให้ผลที่พึ่งพอใจมากที่สุด
เมื่อเกิดการเรียนรู้แล้วบุคคลจะใช้รูปแบบการตอบสนองที่เหมาะสมเพียงรูปแบบเดียว
ที่มา
ประสาท  อิศรปรีดา.(2538).สารัตถะจิตวิทยาการศึกษา.มหาสารคาม
: นำอักษรการพิมพ์.เข้าถึงเมื่อ                    23/07/2558.
พรรณี ช. เจนจิต.(2538).จิตวิทยาการเรียนการสอน.นนทบุรี
: สำนักพิมพ์ศูนย์ส่งเสริมวิชาการ.เข้าถึง                เมื่อ 23/07/2558.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น